ราหูกะลาตาเดียว สุดยอดเครื่องราง หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม
หน้าแรก » กรุพระ » เครื่องรางของคลัง » ราหูกะลาตาเดียว สุดยอดเครื่องราง หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม
นาม พระราหู หรือ เทพราหู เป็นที่รู้จักมักคุ้นของผู้คนมาเนิ่นนาน โดยเฉพาะในทางโหราศาสตร์ ถือเป็นเทพเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติ เมื่อใดดาวราหูโคจรเข้าทับลัคน์, ลัคน์วัย, อายุจรของใครก็ตาม รับรองได้ว่า ชีวิตผู้นั้นจะต้องพบกับความวุ่นวาย อุปสรรค การเปลี่ยนแปลง ความเจ็บป่วย หนี้สิน หรือปัญหาต่างๆ อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นยังรวมไปถึงดวงเมืองอีกด้วย

            พระราหู  เป็นเทพอสูรและเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ตามคติของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ที่มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับการกำเนิดมากมาย อาทิ

            ในคัมภีร์อินเดียโบราณ  บันทึกว่า พระศิวะได้นิรมิตผีโขมด  12  ตน  และร่ายพระเวทป่นให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง จากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อและประพรมด้วยน้ำอมฤต เสกสรรบันดาลให้เป็นเทวะองค์ที่ 8  นามว่า “พระราหู”  เป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์ มีพระวรกายเป็นสีดำสนิท  และทรงอาภรณ์สีดำ บ้างก็สีทองแดง

            บางตำนานก็ว่า พระราหู เป็นโอรสของพระวิประจิตติ  และพระนางสิหิกา  เมื่อแรกเกิด พระราหูมีหางเป็นนาค  สถิตอยู่ในวิมานสีนิชล หรือสีดำขลับ  โดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ  พระราหูเป็นเทวะองค์ที่ 8  ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์

            ในทางพระพุทธศาสนา พระราหู ทรงพระนามว่า ‘อสุรินทราหู’ ผู้จักมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ตามความในคัมภีร์อนาคตวงศ์ จัดพิมพ์เผยแพร่โดยมหามงกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีเนื้อความบางตอนว่า “ ... ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรทูลถามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ‘ในกัปป์อื่นจะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าอำนวยบทหรือพระเจ้าข้า’ พระบรมศาสดา ตรัสตอบว่า ‘ดูกรพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริญเมื่อศาสนาของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ธรรมสารี ล่วงไปแล้ว เมื่อสารดับล่วงไปแล้ว กัปป์หนึ่งๆ ชื่อลักขกัปป์ เกิดเป็นสุญญกัปป์ เมื่อลักษะกัปหนึ่งล่วงไปแล้ว มัณฑกัปป์ได้เกิดขึ้นแล้ว ในกัปป์นั้นมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ 2 พระองค์ คือ พระนารทะพุทธเจ้า 1 พระรังสีมุนีพระพุทธเจ้า 1 โดย อสุรินทราหู จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “นารทะ” ก่อนพระพุทธเจ้ารังสีมุนี’ ... ”


พระราหูมีพระวรกายครึ่งท่อน

            และสาเหตุที่ “พระราหู” มีกายเพียงครึ่งท่อน นั้น มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและอสูรทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลพระวิษณุ พระวิษณุทรงทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งล่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่ 9 แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ ก็คือ พระเกตุจากนั้นมา ครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ ก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้น แต่อมไว้ได้ไม่นานก็ต้องคายออกมา เพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์ ‘สุริยุปราคา’ และ ‘จันทรุปราคา’ ตามคติความเชื่อของคนโบราณ

            ในโหราศาสตร์ไทย พระราหู ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๘ (เลขแปดไทย) และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก 12 หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 12 เป็นเทวดาของผู้ที่เกิด ‘วันพุธกลางคืน’ นอกจากนี้ยังใช้แทนดาวมฤตยู (ดาวยูเรนัส) และเทียบได้กับยูเรนัส ตามเทพปกรณัมกรีก

             ด้วยความเชื่อที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ ว่า “พระราหู” สามารถบันดาลประโยชน์และโทษให้เกิดขึ้นกับบุคคล หรือสิ่งต่างๆ ได้  ดังนั้น จึงได้มีคิดค้น “วิธีการบูชาพระราหู” และ “วัตถุมงคลพระราหู” ขึ้น  เพื่อให้สิ่งที่เลวร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นนั้น บรรเทาเบาบางลงและแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดี  ทำให้เกิดความสำเร็จในหน้าที่การงาน  มีโชค มีลาภ  มีความเจริญก้าวหน้า

            วัตถุมงคลพระราหู จึงมีการจัดสร้างกันมากมายหลายสำนัก แต่ที่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ปรากฏประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้บูชา คือ ราหูกะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม


หลวงพ่อน้อย ศัสธโชโต วัดศีรษะทอง

            หลวงพ่อน้อย ศัสธโชโต (พ.ศ.2435-2490) อดีตเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง นับเป็นพระเกจิชื่อดังรูปหนึ่งของจังหวัดนครปฐม ท่านพัฒนาวัดศีรษะทองให้เป็นที่รู้จักและเลื่องชื่อ โดยเฉพาะเรื่องการกราบไหว้องค์ราหู เพื่อสะเดาะเคราะห์และขอพร ท่านได้สร้างพระและเครื่องรางของขลังต่างๆ ขึ้นมา เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ในการพัฒนาวัดศีรษะทองจนเจริญรุ่งเรือง มีทั้ง เหรียญ วัวธนู กะลาแกะ และผ้ายันต์ ซึ่งล้วนเป็นที่นิยมสะสมอย่างสูง โดยเฉพาะ “เหรียญหล่อ” เนื่องจากท่านสร้างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2487 ซึ่งสงครามกำลังดำเนินอยู่ใกล้ๆ วัด ท่านก็สามารถทำพิธีเททองหล่อเหรียญได้จนแล้วเสร็จเป็นที่อัศจรรย์และกล่าวขานกันเรื่อยมา

            ราหูกะลาตาเดียว นับเป็นสุดยอดเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อน้อย ที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพราะมีคุณปรากฏเป็นเลิศทั้งด้านโชคลาภ การพ้นเคราะห์ และเสริมดวงชะตา กรรมวิธีการสร้างนั้น หลวงพ่อน้อยสืบทอดมาจาก ‘หลวงพ่อไตร’ อันเป็นการสร้างตามตำรับใบลาน จารอักขระขอมลาวที่นำมาจากประเทศลาวโดยตรง ซึ่งก็คือการใช้ ‘กะลาตาเดียว’ มาแกะนั่นเอง


ราหูกะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย

            ราหูกะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย แบ่งการแกะออกเป็น 2 ฝีมือ คือ ฝีมือช่างฝีมือภายในวัดและฝีมือชาวบ้าน ส่วนลายมือในการจารนั้นมี 4 ท่าน คือ หลวงพ่อน้อย ช่างลี ลูกศิษย์ตาปิ่น และพระอาจารย์สม ดังนั้นรูปแบบของราหูหลวงพ่อน้อยจึงมีความแตกต่างกันไปตามฝีมือและลายมือของแต่ละท่าน ไม่เป็นมาตรฐาน แบบการหล่อที่มีแม่พิมพ์ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ‘หลวงพ่อน้อย’ ท่านเป็นผู้ปลุกเสกเองทั้งหมด

            การพิจารณาต้องใช้หลักความเก่าและความเป็นธรรมชาติของเนื้อกะลาที่นำมาแกะ ถ้ากะลาที่ไม่ได้ผ่านการใช้เลยจะมีความแห้งและดูเก่า ส่วนกะลาที่ผ่านการใช้มาแล้วเนื้อจะดูเป็นขุยและยุ่ยครับผม

โดย อาจารย์ราม วัชรประดิษฐ์ แฟนพันธุ์แท้พระเครื่อง

Share : แบ่งปันไปยัง facebook

 เครื่องรางของคลังอื่นๆ

ประกาศจากระบบ